ลิโอเนล เมสซิ นักเตะที่ควรค่าแก่การจดจำ
ประวัติ ลิโอเนล เมสซิ (Lionel Messi) นักเตะที่ควรค่าแก่การจดจำ
ลิโอเนล เมสซิ มันคือวันที่แสนพิเศษที่สุด เพราะผมได้ทำตามความฝันแล้ว ชายที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกฟุตบอล ต่างไม่มีใครที่จะปฏิเสธคำกล่าวนี้ได้ ในที่สุดนวนิยายเรื่องนี้ก็จบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลิโอเนล เมสซิ คว้าถ้วยฟุตบอลโลก ถ้วยที่เขารอคอยมาทั้งชีวิตได้สำเร็จ
ตลอดเส้นทางการค้าแข้งของเขานั้นผ่านอะไรมาบ้างและเว้นทางที่พาผู้ชายคนนี้มาสู่จุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขามีอะไรที่น่าสนใจ วันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของยุค ‘ลีโอเนล เมสซี่
ประวัติข้อมูลส่วนตัวของลิโอเนล เมสซิ
ชื่อเต็ม : ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ (Lionel Andrés Messi)
วันเกิด : 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987
สถานที่ : โรซาริโอ ประเทศอาร์เจนตินา
สัญชาติ : อาร์เจนตินา
ส่วนสูง : 1.70 เมตร
สโมสรปัจจุบัน : ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
ตำแหน่งที่เล่น : กองหน้า
สวมเสื้อเบอร์ : 30
ลงเล่น : 28
ยิงประตู : 8
ประวัติการเล่นในระดับสโมสรที่ผ่านมาของลิโอเนล เมสซิ
ค.ศ. 2003 – 2004 บาร์เซโลนา เซ ลงเล่น 10 นัด ยิง 5 ประตู
ค.ศ. 2004 – 2005 บาร์เซโลนา เบ ลงเล่น 22 นัด ยิง 6 ประตู
ค.ศ. 2005 – 2021 บาร์เซโลนา ลงเล่น 520 นัด ยิง 474 ประตู
ค.ศ. 2021 – ปัจจุบัน ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ลงเล่น 28 นัด ยิง 8 ประตู
เส้นทางชีวิตการค้าแข้งของลิโอเนล เมสซิ
เรื่องราวฟุตบอลของเขานั้น ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่ เมสซิ อายุได้ 5 ขวบ เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลให้กับกรันโดลี สโมสรท้องถิ่น ที่พ่อเขาเป็นผู้ฝึก และจากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ สโมสรญุลส์โอลบอยส์ ในเมืองบ้านเกิดเขาโรซาริโอ ตลอด 6 ปีที่เขาอยู่กับนีเวลส์ เขาทำประตูได้อย่างล้นหลาม และเป็นทีมที่เกือบจะไม่เคยแพ้เลย ก่อนที่เจ้าตัวจะย้ายไปที่ประเทศสเปนเพื่อเข้าร่วมทีมกับบาร์เซโลนาในวัยเพียง 13 ปี เท่านั้น และได้ลงเล่นในการแข่งขันครั้งแรกในวัย 17 ปี ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 จากนั้นตัวเขาก็ได้ยกระดับของตนเองขึ้นมาเป็นผู้เล่นศูนย์กลางของสโมสรในอีกสามปีถัดมา และในฤดูกาล 2008–09 เขาได้พา สโมสรบาร์เซโลนา คว้าแชมป์รายการใหญ่ถึง 3 รายการในปีเดียวกัน และสามารถคว้ารางวัลบาลงดอร์สมัยแรกของตนเองมาได้สำเร็จในวัย 22 ปี ก่อนที่เจ้าตัวจะคว้ารางวัลนี้ได้อีกสามสมัยติดต่อกัน
ในช่วงปีแรกที่เขานั้นได้ย้ายไปอยู่ที่ บาร์เซโลนา ชีวิตของเขานั้นไม่ง่ายนัก และเจ้าตัวยังไม่สามารถลงเล่นในเกมเป็นทางการได้ เนื่องจากการที่ตัวเขาเป็นนักเตะเยาวชนต่างชาติ จึงได้ลงสนามแค่ในเกมกระชับมิตร และเกมในการแข่งขันกาตาลาลีกเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น ครอบครัวของเขาก็ย้ายกลับไปอาร์เจนตินากันหมด เหลือเพียงตัวเขากับพ่อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่ บาร์เซโลนา ซึ่งการปรับตัวเข้าให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขานั้นต้องบอกเลยว่าไม่ง่าย เนื่องจากตัวเขานั้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ เก็บตัว และมีความแตกต่างในด้านของภาษา สำเนียง และวัฒนธรรม จากนั้นในปี 2002 เขาก็ได้รับการลงทะเบียนเป็นนักเตะสามารถลงแข่งขันได้ทุกรายการ
เมสซิ ได้ลงเล่นการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ในขณะที่ตัวเขาอายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนัดกระชับมิตรกับสโมสร ปอร์ตู ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรีนโย เขาได้สร้างโอกาสได้ 2 ครั้งให้ตนเอง และยิงเข้ากรอบ 1 ครั้ง และจากนั้นก็ได้สร้างความประทับใจให้ทีมงานเทคนิคเป็นอย่างมาก หลังจากผ่านนัดนั้นมาเขาก็ได้เริ่มฝึกซ้อมกับทีมสำรองของบาร์เซโลนา และได้มีโอกาสได้เข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่รายสัปดาห์อีกด้วย
ในระหว่างฤดูกาล 2004–05 เมสซิได้รับตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงของบาร์เซโลนา เบ ตัวเขาได้ลงเล่นไปทั้งหมด 17 นัด และทำได้ 6 ประตู หลังจากที่เขาได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาก็ไม่ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมกับทีมชุดใหญ่ ทว่าในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 ผู้เล่นชุดใหญ่ต่างเรียกร้องให้ ฟรังก์ ไรการ์ด ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีมให้เลื่อนเขาขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ แต่ในขณะนั้นตำแหน่งที่เขาเล่นดันมี โรนัลดีนโย ลงเล่น ไรการ์ด จึงย้ายให้เขาไปเล่นฝั่งขวา เพื่อให้เขาสามารถตัดเข้ากลางและยิงประตูด้วยเท้าซ้ายข้างถนัดเมสซิได้ลงเล่นเกมลีกเป็นนัดแรกในนาทีที่ 82 นัดที่พบกับ แอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุได้เพียง 17 ปี 3 เดือน 22 วัน
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2005 ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบ 18 ปีของเมสซิพอดี เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะทีมชุดใหญ่เต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยสัญญายาวถึงปี 2012 โดยเป็นสัญญาที่น้อยกว่าสัญญาเดิมของเขาถึง 2 ปี แต่ค่าฉีกสัญญาของเขากลับพุ่งสูงถึง 150 ล้านยูโร และทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถของเขาถึงค่าฉีกสัญญามูลค่ามหาศาลใน 2 เดือนถัดมา คือเกมกระชับมิตรถ้วยประเพณี ฌูอัน กัมเป ที่แข่งกับ ยูเวนตุส เขาได้เป็นตัวจริงครั้งแรก และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งในเกมนั้นเขาได้รับเสียงปรบมือชื่นชมอย่างมากมายจากผู้คนในสนาม และยังสร้างความประทับใจให้ ฟาบีโอ กาเปลโล กุนซือของยูเวนตุสเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดยื่นขอยืมตัวเขาหลังเกมเลยทีเดียว
ในฤดูกาล 2006–07 เมสซิ ได้ลงเล่นในฐานะทีมชุดใหญ่ สามารถทำประตูได้ถึง 14 ประตูใน 26 นัด และในเกมที่เจอกับ เรอัลซาราโกซา เขาก็ได้เจอกับข่าวร้าน โดยเมสซิ ได้บาดเจ็บจากกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้ต้องพักเป็นเวลา 3 เดือน และเจ้าตัวได้กลับไปพักฟื้นที่อาร์เจนตินา และกลับมาลงแข่งอีกครั้งกับราซินเดซันตันเดร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดยลงในครึ่งหลัง ในฐานะตัวสำรอง
ซึ่งต่อมา เมสซิ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ ปี 2006 เป็นครั้งแรกในการค้าแข้งของเจ้าตัว และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับที่ 20 และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในเหล่านักเตะ 50 คนที่ได้รับการเสนอชื่อ
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เมสซิ ก็กลับมาแสดงฝีมือเต็มตัวอีกครั้ง โดยการโชว์ฟอร์มได้อย่างมหัศจรรย์ ยิงแฮตทริกได้ในการแข่งขันเอลกลาซิโก ทั้งที่ผู้เล่นในทีมเหลือเพียงแค่ 10 คนในสนาม ตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ช่วยให้บาร์เซโลนายันเสมอกับเรอัลมาดริด และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนั้น
หลังจากที่ โรนัลดีนโย ออกจากสโมสรในฤดูกาล 2008-2009 เมสซิก็ได้สวมใส่เสื้อเบอร์ 10 แทน และตัวเขาก็ได้รับคะแนนโหวตเป็นลำดับที่ 2 ในรางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่าปี 2008 ด้วยคะแนน 678 คะแนน และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับ 2 ในการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ ปี 2008 เช่นเดียวกัน เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เขาติดอันดับผู้เข้าชิง 3 คนสุดท้าย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงโรม อิตาลี บาร์เซโลนาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 2–0 โดยเมสซิทำประตูที่ 2 ของการแข่งขันได้ จากการกระโดดโหม่งย้อนเปลี่ยนทางลูกบอลเข้าประตูอย่างสวยงาม ยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีกประจำฤดูกาลนั้น และเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยิงได้ 9 ประตู
หลังจากทีมชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ ปี 2009 ผู้จัดการทีม ชูเซบ กวาร์ดีโอลา ก็ได้แสดงความมั่นใจว่า เมสซิ อาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น โดยการที่ เมสซิ เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับบาร์เซโลนา ที่จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร ทำให้เมสซิ รวมถึงซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดใน ลาลิก้า โดยเมสซิได้เงินประมาณ 9.5 ล้านยูโรต่อปี และภานในปีเดียวกันนั้น เมสซิ ก็คว้ารางวัลบัลลงดอร์มาได้สำเร็จ ด้วยคะแนน 473 คะแนน เอาชนะคู่แข่งอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด อย่างขาดลอย สร้างสถิติได้รับคะแนนโหวตทิ้งห่างอันดับ 2 มากที่สุดตั้งแต่มีรางวัลมา คือ 240 คะแนน หลังจากนั้นนิตยสาร ฟรองซ์ฟุตบอล นำคำพูดที่เมสซิลงไว้ว่า “ผมอุทิศให้กับครอบครัวของผม พวกเขาอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อผมต้องการกำลังใจ และในบางครั้งพวกเขามีความรู้สึกในเรื่องเกี่ยวกับผม มากกว่าตัวผมเสียอีก”
ในปี 2010 เมสซิได้รับรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ โดยการเอาชนะเพื่อนร่วมทีมอย่าง ชาบีและอินิเอสตา โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม เมสซิยิงได้ 3 ประตูในนัดแข่งกับกรานาดา ทำให้เขากลายเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของบาร์เซโลนา แซงหน้านักฟุตบอลตำนานอย่าง เซซาร์ โรดริเกซ อัลบาเรซ ที่เคยทำสถิติไว้ที่ 232 ประตู ในวันที่ 2 พฤษภาคม เมสซิยิงแฮตทริกในนัดแข่งกับมาลากา ทำให้เขาทำลายสถิติของแกร์ท มึลเลอร์ ที่ยิง 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73 โดยเมสซิยิงได้ 68 ประตู และเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาล
วันที่ 27 ตุลาคม 2012 เมสซิทำประตูทะลุหลัก 300 ประตูในอาชีพการค้าแข่งของเขา จากการทำ 2 ประตูในเกมลีกที่บุกไปเยือน ราโยบาเยกาโน ทำให้จำนวนรวมของประตูที่เขาทำได้คือ 301 ประตู โดยแบ่งเป็น 270 ประตูจากการเล่นในบาร์เซโลนา และ 31 ประตูจากการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา รวมทั้งหมดจากการลงเล่นรวม 419 นัดเท่านั้น วันที่ 7 มกราคม 2013 เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับเสียงโหวตสูงถึง 41.6 เปอร์เซ็น เมื่อนับรวมกับรางวัลบัลลงดอร์ที่เมสซิได้รับก่อนที่ฟีฟ่าจะควบรวมรางวัลแล้ว เขาได้รับรางวัลถึง 4 ครั้ง และเป็น 4 ปีติดต่อกันด้วย และยังได้รับเลือกเป็น 1 ใน FIFA FIFPro World XI คือ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
วันที่ 28 สิงหาคม 2013 บาร์เซโลน่า ได้คว้าแชมป์ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ทำให้เมสซิกลายเป็นนักเตะชาวอาร์เจนตินาที่ได้ถ้วยแชมป์มากที่สุด ร่วมกับ เอสเตบัน กัมเบียสโซ ซึ่งในฤดูกาลนี้แม้จะเป็นฤดูกาลที่ไม่ดีนักสำหรับเขาเท่าไหร่ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนถึง 4 หนใน 8 เดือน จึงต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลาถึง 8 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการอาเจียนในสนามบ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังสามารถทำประตูให้สโมสรในทุกการแข่งขันได้ถึง 41 ประตู และ 28 ประตูในลีก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วให้ที่ทำให้เขาอยู่อันดับ 2 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดของลีกในฤดูกาลนี้ และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้เข้าชิงรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ และ 1 ใน FIFA FIFPro World XI of the year
ในฤดูกาล 2015-16 เมสซิ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยทำประตูจากลูกฟรีคิก 2 ประตูในการแข่งขันชิงถ้วย ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่บาร์เซโลนาเอาชนะเซบิยาไป 5–4 เป็นครั้งแรกที่เขาทำประตูได้จากการเตะลูกฟรีคิก 2 ประตูในเกมเดียว และจาก 2 ประตูนี้ ทำให้เมสซิทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดการในการแข่งขันทุกรายการของยูฟ่า เทียบเท่ากับ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ 80 ประตู และในวันที่ 8 มกราคม 2016 เมสซิได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งปี 2015 ของยูฟ่า โดยได้รับเสียงโหวตมากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด คือ 70% (448,445 คะแนนโหวต) ฤดูกาลนี้ เมสซิเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตัวเองชัดเจนมากขึ้น โดยเน้นทำเกม ส่งให้เพื่อนยิง ไม่วิ่งขึ้นไปยิงเองแบบฤดูกาลก่อน ๆ ซึ่งสื่อได้ยกให้เขาเป็นนักกลยุทธ์คนใหม่ของกัมนอว์ เขาตัดสินใจได้ดีว่าเวลาไหนควรยิง และเวลาไหนควรจ่าย และเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของลาลิกา และมีคะแนนความสามารถเฉลี่ยทั้งฤดูกาลสูงที่สุด เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในเกมลีกถึง 13 ใน 31 เกมที่ลงเล่น
ฤดูกาล 2016-17 เมสซิเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเซอร์ไพรส์แฟนบอลครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนลุคของเจ้าตัว คือการเปลี่ยนสีผมเป็นสีแพลทตินั่มบลอนด์ และเริ่มไว้หนวดเครา โดยให้เหตุผลในการเปลี่ยนลุคครั้งนี้ว่า ต้องการรู้สึกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ เมสซิจบฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาที่ 37 ประตู ได้รับรางวัลปิชิชิ (Pichichi) มีคะแนนและจำนวนประตูสูงสุดในทำเนียบรางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีกด้วย และยังเป็นดาวซัลโวในการแข่งขันถ้วยโกปาเดลเรย์ที่ 5 ประตู ยิงรวมทุกรายการ 54 ประตู จากการแข่งขัน 52 นัด โดยเมสซิได้รับรางวัลรองเท้าทองคำครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว เป็นสถิติได้รับรางวัลรองเท้าทองคำมากที่สุด ถือครองร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด เมสซิยังเป็นเป็นอันดับ 1 ในตารางนักเตะ Top Player ของฤดูกาล ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถีง 16 จากการลงเล่น 32 นัดในลีก
วันที่ 5 กรกฎาคม 2017 บาร์เซโลนาได้ประกาศถึงสัญญาฉบับใหม่ของเมสซิ ว่าตกลงรายละเอียดกันได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการเซ็นสัญญา โดยสัญญาฉบับใหม่นี้มีค่าฉีกสัญญาสูงถึง 300 ล้านยูโร และจะทำให้เมสซิมีสัญญากับบาร์เซโลนายาวไปถึง ค.ศ. 2021 ในฤดูกาลนี้เอร์เนสโต บัลเบร์เด กุนซือคนใหม่ของบาร์เซโลนา ได้ปรับตำแหน่งให้เมสซิ จากการเล่นตำแหน่งปีกขวาในช่วง 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ให้กลับมาเล่นตรงกลางในตำแหน่ง False 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งถนัด และเป็นตำแหน่งที่เขาเคยเล่นสมัยที่แป็ป กวาร์ดีโอลาคุมทีมอยู่ วันที่ 7 สิงหาคม 2017 เมสซิได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของสุดยอดนักเตะในประวัติศาสตร์การแข่งขันลาลิกา โดยการสำรวจและค้นคว้าจาก ‘CIHEFE’ (Centro de Investigaciones de Historia y Estadistica del Futbol Espanol) คือ ศูนย์ค้นคว้าประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลสเปนโดยเมสซิซึ่งทำอันดับดีขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวในลำดับ 1 – 15 ซึ่งยังคงค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน จากการจัดอันดับครั้งล่าสุดนี้เมสซิมีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 545 คะแนน เริ่มทำคะแนนทิ้งห่าง อันดับ 2 คือ ราอุล กอนซาเลซ (528 คะแนน) และอันดับ 3 คือ เซซาร์ โรดริเกซ (524 คะแนน) โดยนักเตะที่ยังคงค้าแข้งอยู่และมีคะแนนรองลงมา คือ คริสเตียโน โรนัลโด (415 คะแนน) ซึ่งรั้งอยู่ในอันดับที่ 17 เมสซิจบฤดูกาลด้วยรางวัลปิชีชี่ (ดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา) ครั้งที่ 6 ของเขา โดยทำได้ 36 ประตูจาก 34 เกมในลาลิกา ทำให้เขาทาบสถิติได้รับรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกามากครั้งที่สุดของเตลโม ซาร์รา และเขายังได้รางวัลรองเท้าทองคำ เป็นครั้งที่ 6 และเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันด้วย
เริ่มต้นฤดูกาล 2019–20 เมสซี่มีอาการบาดเจ็บน่องขวา จึงไม่ได้เข้าร่วมทัวร์พรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกาของบาร์เซโลนา ต่อมา วันที่ 19 สิงหาคม 2019 เมสซิทำประตูได้จากลูกชิพจากบริเวณกรอบเขตโทษ ในเกมลาลีกาพบกับเรอัลเบติสของเมสซิ ซึ่งได้เสนอเข้าชิงรางวัลฟีฟ่าปุสกัส 2019 ในเดือนต่อมาอาการบาดเจ็บที่น่องขวาของเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาพลาดเกมเปิดฤดูกาล และต้องพักโดยคาดว่าจะกลับมาลงสนามได้หลังพักเบรกทีมชาติในเดือนกันยายนเมสซิจบฤดูกาลด้วยการเป็นทั้งดาวซัลโวของลาลิกาที่ 25 ประตู และผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของลาลิกาที่ 21 แอสซิสต์ ทำให้เขาได้รับรางวัลปิชีชี่เป็นครั้งที่ 7 ทำลายสถิติได้รับรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกามากครั้งที่สุดของเตลโม ซาร์รา ไปได้
เมสซิซึ่งมีปัญหาขัดแย้งกับบอร์ดบริหารของบาร์เซโลนามาตลอดฤดูกาล ทั้งเรื่องที่บอร์ดบริหารว่าจ้างบริษัทภายนอกให้ว่าร้ายโจมตีนักเตะปัจจุบันและอดีตนักเตะหลายคนของสโมสรทางอินเทอร์เน็ต เรื่องคอรัปชั่นที่แดงขึ้นมาของบอร์ดบริหาร และเรื่องการถูกบังคับให้ย้ายออกจากสโมสรด้วยวิธีการไม่ให้เกียรติของเพื่อนรักอย่าง ลุยซ์ ซัวเรซ ทำให้เขาไม่มีความสุข และตัดสินใจจะไปจากสโมสร เมสซิส่งบูโรแฟกซ์ แสดงเจตจำนงต้องการออกจากสโมสรในวันที่ 25 สิงหาคม 2020 ซึ่งกลายเป็นเรื่องร้อนแรงที่สื่อจับตามอง และตอนเย็นในวันที่ 30 สิงหาคม 2020 หลังแถลงการณ์ของลาลิกา เมสซิให้สัมภาษณ์กับ Goal ว่า เขาจะอยู่กับบาร์เซโลนาต่ออีก 1 ฤดูกาลจนครบสัญญา แม้ว่าทีมกฎหมายจะยืนยันว่าเขาจะชนะแน่นอนในชั้นศาล แต่เขาจะไม่มีวันไปยืนในศาลเพื่อฟ้องร้องบาร์เซโลนาอย่างแน่นอน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรบาร์เซโลนาในขณะนั้น พร้อมบอร์ดบริหารถูกแฟนบอลลงประชามติถอดถอน และต้องยอมลาออกให้เลือกตั้งใหม่ในที่สุด
เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 โจน ลาปอร์ตา ซึ่งชูนโยบายทำทุกทางให้เมสซิอยู่กับบาร์เซโลนาต่อ ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานสโมสรบาร์เซโลนาคนใหม่ ทำให้ข่าวการต่อสัญญาของเมสซิเป็นไปในทางบวกมาตลอด แม้สัญญาของเมสซิกับบาร์เซโลนาจะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม 2021 แล้วก็ตาม แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่าคงไม่มีปัญหา เพียงรอให้เมสซิเสร็จสิ้นจากการสู้ศึกโกปาอเมริกา 2021 ก่อน และทางลาปอร์ตาเองก็พูดอยู่เสมอว่าการพูดคุยรายละเอียดสัญญาใหม่เป็นไปด้วยดี ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงลงนามสัญญาเท่านั้น
โดยรายละเอียดสัญญาฉบับใหม่ของเมสซิ โดยตัวเขายินดีลดค่าเหนื่อยลง 50% และยอมให้สโมสรยืดเวลาชำระค่าเหนื่อย 2 ปี ออกไปเป็น 5 ปี เพื่อช่วยเรื่องการเงินของสโมสรซึ่งมีปัญหาเรื้อรัง และได้รับผลกระทบหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 19 ข้อสัญญาทุกอย่างได้รับการยอมรับจากทั้ง 2 ฝ่ายเรียบร้อยดีแล้ว ทุกอย่างดูราบรื่นดีจนกระทั่งวันนัดเซ็นสัญญา ลาปอร์ตา จึงแจ้งแก่ ฮอร์เก้ เมสซิ พ่อและตัวแทนของเมสซิ ว่าสัญญานี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมรดกทางการเงินอันเละเทะจากบอร์ดชุดก่อน และกฎไฟแนลเชี่ยลแฟร์เพลย์ เพดานค่าเหนื่อยของลาลิกา โดยลาปอร์ตากล่าวว่า ตอนแรกเขาคิดว่าลาลิกาจะยืดหยุ่นมากกว่านี้ในสถานการณ์ไม่ปกติ
วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2021 สโมสรบาร์เซโลนาได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการยื่นฉบับใหม่ให้เมสซิ เนื่องจากปัญหาด้านโครงสร้างทางการเงินของสโมสร และกลายเป็นประเด็นร้อนที่จับตามองกันทั่วโลก เมสซิแถลงข่าวอำลาสโมสรที่อยู่มา 21 ปีอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2021 “มันเป็นเรื่องยาก ผมไม่ได้เตรียมใจไว้ ผมทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้แล้ว เพื่อจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่สโมสรก็ยังไม่สามารถต่อสัญญาผมได้ เนื่องจากกฎของลาลิกา”
เมสซิเป็นนักเตะอิสระ แต่มีเวลาไม่มากนักในการรับพิจารณาข้อเสนอจากสโมสรต่าง ๆ เนื่องจากความชัดเจนจากบาร์เซโลนามาในช่วงท้ายก่อนเปิดฤดูกาลเพียงไม่กี่วัน เขาเลือกเซ็นสัญญาร่วมทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ในลีกเอิง ประเทศฝรั่งเศส ด้วยสัญญา 2 ปี (พร้อมเงื่อนไขขยายเพิ่มอีก 1 ปี) และกลายเป็นผู้เล่นที่รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของทีม ด้วยตัวเลขราว ๆ 35 ล้านยูโรต่อปี ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากขณะนั้นลีกเอิงเปิดฤดูกาลแข่งนัดแรกเรียบร้อยแล้ว การเปิดตัวกับสโมสรใหม่ของเขาเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 วัน หลังวันแถลงข่าวของบาร์เซโลนา
จากผลงานอันโดดเด่นด้วยจำนวน 41 ประตู และการทำแอสซิสต์ 17 ครั้งทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติตลอดปีปฏิทิน 2021 และยังมีส่วนสำคัญในการพาทีมชาติอาร์เจนตินาชนะเลิศถ้วยโกปาอเมริกา 2021 ส่งผลให้เมสซิคว้ารางวัลบาลงดอร์เป็นครั้งที่ 7 จากการประกาศผลเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2021 และยังถือเป็นผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลที่ได้รับรางวัล
ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2022 เมสซิช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกเอิงสมัยที่สิบ หลังจากทำประตูได้จากการยิงนอกกรอบเขตโทษระยะ 18 หลาช่วยให้ทีมเสมอล็องส์ด้วยผลประตู 1–1 ผลงานโดยรวมในฤดูกาลแรกของเมสซิคือการทำ 11 ประตู และแอสซิสต์ 14 ครั้งรวมทุกรายการ โดยนี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่เมสซิทำประตูในลีกได้ต่ำกว่า 10 ประตู โดยเขาทำไป 6 ประตูในลีกเอิงฤดูกาลนี้
เข้าสู่ฤดูกาลที่สอง เมสซิเริ่มต้นด้วยการทำประตูแรกในนัดที่ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ชนะน็องต์ด้วยผลประตู 4–0 ในรายการทรอเฟเดช็องปียง 2022 และถือเป็นแชมป์รายการที่สองของเมสซิตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
ลิโอเนล เมสซิกับการรับใช้ทีมชาติบราซิล
นอกเหนือจากความสำเร็จอันเจิดจรัสในระดับสโมสรแล้ว ลิโอเนล เมสซิ ยังมีบทบาทสำคัญในทีมชาติอาเจนติน่า มาอย่างยาวนาน โดยล่าสุดเขามีส่วนช่วยสำคัญในการพาทีมชาติ ิาจนติน่า คว้าแชมป์ฟุตบอล 2022 ที่ประเทศการ์ตามาได้สำเร็จและเป็นการคว้าแชมป์โลกครั้งแรกของเจ้าตัวอีกด้วย
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เขาลงแข่งในฐานะทีมชาติอาร์เจนตินา โดยเล่นในชุดอายุไม่เกิน 20 ปีในนัดกระชับมิตรเจอกับทีมชาติปารากวัย ในปี ค.ศ. 2005 เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะในฟีฟ่าเวิลด์ยูทแชมเปียนชิป ที่จัดขึ้นที่เนเธอร์แลนด์ โดยเขาได้รับรางวัลลูกบอลทองคำและรองเท้าทองคำ เขายิงประตูใน 4 นัดสุดท้ายของอาร์เจนตินา รวมยิงได้ 6 ประตูในการแข่งขัน
เขาลงแข่งในฐานะทีมชาติเต็มตัวเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2005 ในนัดเจอกับฮังการี เมื่อเขาอายุ 18 ปี อาการบาดเจ็บของเมสซิทำให้เขาไม่ได้ลงใน 2 เดือนท้ายสุดของฤดูกาล 2005–06 ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2006 นัก แต่อย่างไรก็ตามเมสซิก็ยังได้รับเลือกให้ลงเล่นในชุดทีมชาติอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 เขายังลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศให้กับอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี เขาช่วงส่งประตูยิงให้กับเอร์นัน เกรสโปในไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาลงสนามและยังช่วยยิงประตูในชัยชนะ 6–0 ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 ที่ยิงประตูได้และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดอันดับ 6 ที่ยิงประตูได้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
เมสซิลงเล่นเกมแรกของโกปาอาเมริกา 2007 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เมื่ออาร์เจนตินาชนะสหรัฐอเมริกา 4–1 ในเกมแรก โดยเขาได้แสดงความสามารถในฐานะเพลย์เมกเกอร์ เขาตั้งลูกทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม เอร์นัน เกรสโปรและยิงเข้ากรอบหลายลูก เตเบซลงมาแทนเมสซิในนาทีที่ 79 และยิงประตูในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
เมสซิถูกห้ามเล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างเกมในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 แต่ท้ายสุดบาร์เซโลนาตกลงว่าปล่อยเขาให้เล่นหลังจากได้จัดการพูดคุยกับ ผู้ฝึกคนใหม่ ชูเซบ กวาร์ดีโอลา เขาลงเล่นกับทีมชาติอาร์เจนตินาและทำประตูแรกในประตู 2–1 ที่ชนะโกตดิวัวร์ จากนั้นยิงประตูเปิดเกมและช่วยส่งลูกยิงให้กับอังเฆล ดิ มาริอาในประตูที่ 2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ทีมชนะเนเธอร์แลนด์ 2–1 เขายิงลงแข่งในนัดพบกับคู่ปรับ บราซิล ที่อาร์เจนตินาชนะ 3–0 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในนัดชิงเหรียญทอง เมสซิช่วยส่งลูกอีกครั้งให้กับดิ มาริอา ในประตูเดียวของเกม 1–0 ทำให้ทีมชนะไนจีเรีย
เมสซิลงแข่งตลอดเกมในนัดแรกที่อาร์เจนตินาพบกับไนจีเรีย ชนะไป 1–0 เขามีโอกาสในการทำประตูหลายครั้ง แต่วินเซนต์ เอนเยมา ก็รักษาประตูไว้ได้ เมสซิลงแข่งในนัดเจอกับเกาหลีใต้ ชนะด้วยประตู 4–1 โดยเขามีส่วนร่วมในการทำประตูทุกประตูของทีม และช่วยกอนซาโล อีกวาอินยิงแฮตทริก ในนัดที่ 3 และนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เมสซินำทีมอาร์เจนตินาชนะกรีซ และเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นแห่งนัด ในรอบ 16 ทีม เขาช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับการ์โลส เตเบซ ในประตูแรกที่อาร์เจนตินาชนะเม็กซิโก 3–1 ผู้ตัดสินให้ประตูถึงแม้ว่าจะไม่กระจ่างว่าล้ำหน้าหรือไม่ อาร์เจนตินาจบการแข่งขันในฟุตบอลครั้งนี้ด้วยการแพ้ให้กับเยอรมนี 4–0
ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล ฟอร์มของเมสซิเป็นที่กังวลเนื่องจากเขามีฤดูกาลที่ไม่ดีนักกับบาร์เซโลนา และมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามเขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ฟุตบอลโลก 2014 รอบชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินาพบกับเยอรมัน กล่าวกันว่านี่คือเกมระหว่างผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก กับทีมที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงครึ่งแรกเมสซิสามารถยิงประตูได้ แต่ไม่นับเป็นประตูเนื่องจากล้ำหน้า หลังจากเกมเสมอกันในเวลา 0-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษเยอรมันสามารถทำประตูชัยได้จากตัวสำรอง มาริโอ เกิทเซอ ในนาทีที่ 113 ทำให้อาร์เจนตินาทำได้เพียงเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตามเมสซิยังคงได้รับรางวัลลูกบอลทองคำ รางวัลสำหรับผู้เล่นที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดลำดับที่ 3 ด้วยจำนวน 4 ประตู 1 แอสซิสต์ และเป็นผู้สร้างโอกาสการทำประตูสูงที่สุด, เลี้ยงบอลผ่านได้มากที่สุด, ส่งบอลเข้าเขตโทษได้มากที่สุด และจ่ายบอลได้มากที่สุดในการแข่งขัน
ในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มของอาร์เจนตินา วันที่ 26 มิถุนายน 2018 เป็นการพบกับทีมชาติไนจีเรีย เมสซิยิง 1 ประตูช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะ 2–1 เป็นนักเตะชาวอาร์เจนตินาคนที่ 3 หลังจาก ดิเอโก มาราโดนา และ กาบริเอล บาติสตูตา ที่สามารถทำประตูได้ในฟุตบอลโลกเกิน 3 วาระ เขายังเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกมฟุตบอลโลกได้ในทุกช่วงอายุ 10-20-30 ปี อาร์เจนตินาสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ โดยเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย วันที่ 30 มิถุนายน 2018 อาร์เจนตินาพบกับฝรั่งเศส เมสซิเซตบอลให้กาบริเอล เมร์กาโด และ เซร์ฆิโอ อาเกวโร ทำประตูได้ แต่อาร์เจนตินาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับฝรั่งเศสไป 3–4 ตกรอบ
วันที่ 21 พฤษภาคม 2019 เมสซิถูกเรียกตัวติดทีมชาติ ชุดแข่งขัน โกปาอาเมริกา 2019 โดยมี ลิโอเนล เอสกาโลนิ เป็นผู้จัดการทีม ในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 2 เมสซิทำประตูตีเสมอปารากวัย 1–1 เมสซิถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นอีกครั้ง ซึ่งเขายอมรับว่าครั้งนี้ไม่ใช่โกปา อเมริกาที่ดีของเขา และบ่นถึงสภาพสนามที่ค่อนข้างแย่ และในนัดแพ้บราซิล 0–2 ในรอบรองชนะเลิศ เมสซิตำหนิการตัดสินของกรรมการ และกล่าวเลยไปว่าเหมือนเป็นการเตรียมการให้เจ้าภาพชนะ ในการแข่งขันชิงที่ 3 กับชิลี เมสซิเปิดฟรีคิกเป็นประตูของ กุน อเกวโร ช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะชิลี 2–1 ได้เหรียญทองแดงไปครอง
นวันที่ 10 กรกฎาคม 2021 อาร์เจนตินาเอาชนะบราซิล เจ้าภาพ 1–0 คว้าแชมป์โกปาอาเมริกา มาครองได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1993 และเป็นแชมป์กับทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกของเมสซิ เมสซิมีส่วนกับประตูของอาร์เจนตินา ถึง 9 จาก 12 ประตู โดยยิงได้ 4 ประตู 5 แอสซิสต์ เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ร่วมกับ เนย์มาร์ และยังได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ เนื่องจากเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์ที่ 4 ประตู เป็นยังผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของทัวร์นาเมนต์ที่ 5 แอสซิสต์อีกด้วย
ฟุตบอลโลก 2022 โดยรอบชิงชนะเลิศเป็นคู่ชิงแชมป์ระหว่าง ทีมชาติอาร์เจนตินา พบกับ ทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแชมป์เก่า โดยทั้งคู่มีดีกรีเป็นแชมป์มาแล้ว 2 สมัย ลิโอเนล สกาโลนี่ นายใหญ่ อาร์เจนตินา พาทีมเข้ารอบด้วยการไล่ถล่ม โครเอเชีย 3-0 เกมนี้ได้ กอนซาโล่ มอนเทียล และ มาร์กอส อคูน่า กลับมาจากโทษแบน แต่ทั้งคู่ยังต้องรอโอกาสที่ข้างสนามม โดยอาร์เจนตินา ยังคงยึดตัวจริงเหมือนในเกมรอบรองชนะเลิศทั้งหมด โดย ลิโอเนล เมสซี่ ที่เจ็บจากเกมรอบรองฯ ฟิตทันลงสนามในเกมสุดท้ายฟุตบอลโลกของตัวเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดฉากไปได้อย่างสวยงาม หลังนำอาร์เจนตินา คว้าแชมป์บอลโลก ด้วยการดวลจุดโทษชนะ ฝรั่งเศส 4-2 หลังจากเสมอใน 120 นาที 3-3
ผลงานส่วนตัวของ ลิโอเนล เมสซิ
ระดับสโมสร
- แชมป์ ลาลีกา 10 สมัย
- โกปา เดอเลย์ 7 สมัย
- ซุปเปอร์โกปา เดอเรย์ 7 สมัย
- ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก 4 สมัย
- ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 3 สมัย
- แชมป์สโมสรโลก 3 สมัย
- แชมป์ลีกเอิง 1 สมัย
- แชมป์ทรอเฟเดช็องปียง 1 สมัย
ระดับทีมชาติ
- แชมป์กีฬาฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน 1 สมัย
- แชมป์ฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี 1 สมัย
- แชมป์ฟินาลิสซิมา 1 สมัย
- แชมป์โกปาอาเมริกา 1 สมัย
- แชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย